อัพเดทข้อมูลข่าวสารได้ที่แฟนเพจ KaranaTravelGear
เรื่องโดย joop py joop
ความเดิมตอนที่แล้ว >> http://karanatravelgear.blogspot.com/2013/11/karana-1-1-2.html
วันที่สามของทริป กว่ารถจะมารับก็แปดโมงครึ่ง มีลูกทัวร์เกือบเต็มคันแถมรถคันใหญ่กว่าเดิม
นั่งรถไม่นานถึงศูนย์ศิลปะหัตถกรรมของคนพิการ ที่เมืองไฮดอง มีสินค้ามากมายให้เลือกซื้อ มีขนม กับของฝากด้วย (จริงๆ เมื่อวานก็แวะเหมือนกัน) ภาคบังคับ
นั่งรถอีก 2 ชั่วโมงกว่าๆ ฝนเริ่มโปรยปรายเล็กน้อย (จริงๆ ระยะทางไม่ได้ไกลสักเท่าไร แต่ที่นี่จำกัดความเร็วของรถประมาณ 80 กม./ ชม. ที่นั่งสบาย อากาศดี ก็หลับนะสิ)
ถึงท่าเรือเห็นเรือเรียงกันเต็มท่า ไกด์ให้ตั๋วกันคนละใบ แล้วพาพวกเราขึ้นเรือ อ้าว!!! ไงเรือของเราไม่ใช่เรือสำเภากางใบ แบบที่คุยไว้หล่ะ เริ่มไงไงสะแล้วสิ!!
พวกเราขึ้นเรือสักพัก อาหารเริ่มทยอยมาเสริฟ ประมาณ 5 - 6 อย่าง พร้อมกับน้ำอัดลมกระป๋อง (ต้องจ่ายเพิ่ม) ดีนะพวกเราซื้อน้ำมาก่อนแล้ว แต่ว่าทำไมอาหารน้อยจังเหมือนไม่อิ่ม ตอนต่อรองราคาบอกได้แบบเต็มที่ไง โดนครั้งที่ 2 อ่า!!
เมื่อทานอาหารจน(ไม่) อิ่ม สักพัก เรือได้มาเทียบท่าที่เกาะนางฟ้า บรรยากาศมืดครึ้ม เริ่มมีฝนตกบ้างเล็กน้อย ตั้งแต่ก่อนถึงถ้ำนางฟ้าแล้ว พวกเรานำเสื้อกันฝนที่เตรียมมามาใส่กันเป็นทีมก่อนชมความงามของถ้ำนางฟ้า
ภายในถ้ำนางฟ้า หรือ ถ้ำสวรรค์ เป็นถ้ำกลางทะเลสาบที่มีหินงอกหินย้อยงดงามตามธรรมชาติ ที่มีการประดับด้วยแสงสีตามผนังทำให้เกิดจินตนาการรูปร่างต่างๆ มากมาย
หลังจากออกจากถ้ำนางฟ้า เรือนำเรามาบริเวณอ่าวสำหรับให้พวกเราได้พายเรือคายัก
ฝนยังคงโปรยปรายอย่างต่อเนื่อง เตรียมตัวกันเลย แต่ไกด์บอกว่าก่อนพายเรือคยัคให้ลงเรือชมอ่าวลอดถ้ำก่อน เพราะจะไม่ให้พายเรือคยัคเข้าไปเอง (เค้าว่าพายโดยคนท้องถิ่น เป็นการอุดหนุนรายได้คนแถวนี้) พอลงไปไกด์บอกคนละ 7 USD โดนอีกแล้วอ่า แงๆๆๆ จริงๆ แล้วไม่ลงก็ได้ นั่งๆ ยืนๆ รออีกสักพักก็ได้พายเรือคยัคแล้ว
ฟ้าเป็นใจ ฟ้าเปิด แดดออก ให้พวกเราด้วย เค้าให้เวลาพายเรือ 15 – 20 นาที ส่วนคนที่ไม่ได้พายเรือคยัคจะอยู่บนเรือใหญ่ที่ล่องอยู่บริเวณอ่าวแถวนั้น (คนที่รอบนเรือต้องนั่งบนเรือรวมๆ ประมาณ 40 – 50 นาที)
หลังจากพายเรือกันแล้ว พวกเราขึ้นเรือกลับ ได้ภาพสวยๆ มาฝากได้อีก (ก็แดดออก ผิดกับตอนมาจริงๆ)
ขากลับเข้าเมืองฮานอย อีกแล้ว!! รถขากลับกลายเป็นรถตู้คันเล็กหล่ะ รู้สึกโดนอีกรอบหล่ะ!!
กว่าจะถึงประมาณ 19.30 น. หิวนะสิ หาร้านอาหารแถวๆ ที่พักละกัน เห็นร้านนึงคนเยอะลองเข้าร้านนี้แหละ อาหารส่วนใหญ่เป็นหน้าตาคล้ายๆ ราดหน้า แล้วมีประเภทของทอด ทั้งหมูทอด นกทอด ด้วย รสชาติพอใช้ได้ แต่พื้นค่อนข้างรกไปด้วยกระดาษทิชชู่ (เค้าคงเก็บกวาดตอนเก็บร้านรอบเดียวนะสิ)นอกจากร้านนี้ยังมีร้านพวกหมูกะทะ ร้านขายทะเลอีกหลายร้าน สนใจลองดูได้ อิ่มแล้วก็กลับไปนอนเตรียมตัวเที่ยววันพรุ่งนี้
วันที่ 4 วันนี้พวกเราวางแผนจะเที่ยวในเมืองฮานอยฝั่งตะวันตกกัน
0. Tran Quoc Pagoda - วัดที่อยู่บนแหลมยื่นไปในทะเลสาบ West Lake
1. Ho Chi Minh's Stilt House – เป็นโซนที่ทำการพรรคคอมมิวนิสต์และบ้านโฮจิมินห์
2. Ho Chi Minh's Mausoleum – สุสานโฮจิมินห์ มีโลงแก้วโฮจิมินห์ ด้านหน้ามองเห็น จตุรัสบาดิงห์ บริเวณนี้มีสถานที่ที่สำคัญเกี่ยวกับสงครามอยู่มากมาย
4. One Pillar Pagoda – “วิหารเสาเดียว” ด้านข้างมี Dien Huu Pagoda
5. Ho Chi Minh’s Museum – พิพิธภัณฑ์ลุงโฮฯ มีประวัติ ภาพถ่าย ลายมือ ของโฮจิมินห์และมีศิลปะแนวๆสงครามแสดงอยู่
6. Temple of Literature / Van Mieu Pagoda – "วัดวั่นเมียว" วิหารวรรณกรรม มี Temple of Literature Entry Gate / Dai Thanh Mon
7. Flag Towet – หอคอยชูธง
วันนี้เราตื่นมาพร้อมเสียงฝนตก เตรียมเสื้อกันฝนไว้เลยได้ใช้แน่ๆ พวกเราจะออกจากที่พักประมาณ 9 โมง เพราะว่าสุสานโฮจิมินห์ จะเปิด – ปิดเป็นช่วงเวลา และมีคนเข้าชมจำนวนมาก (ต้องแต่งกายด้วยชุดสุภาพ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจอยู่ด้านหน้าเลยล่ะ ห้ามถ่ายรูป และระหว่างเคารพศพลุงโฮ ต้องอยู่ในกิริยาสำรวม ถ้านำกล้องใหญ่หรือกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ ต้องฝากก่อนเข้าด้วย) เราวางแผนจะไปรถประจำทาง สาย 9 เดินไปขึ้นที่ป้ายรถตรงทะเลสาบ ตรงข้ามกับโชว์หุ่นกระบอกน้ำ (ตรงนี้เป็นท่ารถเมล์ มีรอจอดรออยู่แล้ว รอสอบถามว่ารถคันไหนจะออก) ราคาเพียงคนละ 5,000 ดอง นั่งไปไม่นานก็ถึง
เมื่อมาถึงหน้าสุสาน (คนเยอะจริงๆ ขนาดวันธรรมดาแล้วยังฝนตกอีก)
ก่อนเข้ามีเจ้าหน้าที่ตรวจการแต่งกายและตรวจกระเป๋า และต้องเดินไปตามทางเดินอย่างมีระเบียบ
สุสานโฮจิมินห์ หรือ Ho Chi Minh Mausoleum จะปิดทุกวันจันทร์และวันศุกร์ ตั้งอยู่ที่จัตุรัสบาดิงห์ อาคารสุสานสร้างด้วยหินอ่อน หินแกรนิต และไม้มีค่าจากทั่วประเทศ (ไม่เสียค่าเข้าชม)
ภายในสุสานโฮจิมินห์มีทหารกองเกียรติยศในชุดเครื่องแบบเต็มยศสีขาวยืนถือดาบปลายปืนยืนรักษาการณ์อยู่ตลอดเวลา ที่กลางห้องมีแท่นหินตั้งโลงแก้วบรรจุร่างของโฮจิมินห์ ให้ได้รับการรักษาไว้ให้อยู่ในสภาพเดิม สุสานโฮจิมินห์จะปิดในฤดูใบไม้ร่วงเป็นเวลานาน 2 เดือน (เดือนตุลาคมและเดือนพฤศจิกายน เพื่อนำศพลุงโฮไปทำความสะอาดและเปลี่ยนน้ำยาที่รัสเซีย)
บริเวณเดียวกันจะสามารถเข้าชมส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโฮจิมินห์ได้อีก คือ Ho Chi Minh's Stilt House + One Pillar Pagoda + Dien Huu Pagoda + President Palace เสียค่าเข้าชม คนละ 25,000 บาท
ทำเนียบประธานาธิบดีเป็นอาคารทรงโคโลเนียลสีเหลือง ที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1901 ปัจจุบันเป็นที่รับแขกเมืองของเวียดนาม รอบๆ ทำเนียบมีสวนดอกไม้และสระน้ำ
ด้านหลังทำเนียบมีบ้านไม้หลังเล็กๆ ซึ่งลุงโฮใช้เป็นที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1958 จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ใต้ถุนบ้านเล็กๆ หลังนี้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ ที่โฮจิมินห์ใช้เป็นที่ประชุม กับนายทหารคนสำคัญๆ วางแผนการรบกับทหารสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนาม ข้างบนบ้านเป็นห้องหนังสือและห้องนอนของโฮจิมินห์ซึ่งอยู่อย่างเรียบร้อยและสมถะ
เจดีย์เสาเดียว : ชาวเวียดนามเรียกว่า จั่วโมดโกด สร้างเป็นศาลาเก๋งจีนหลังเดียวขนาดเล็กตั้งอยู่บนเสาต้นเดียว ศาลานี้อยู่กลางสระบัวรูปสี่เหลี่ยม วัดรูปทรงดอกบัว วัดแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาให้แก่ เจ้าแม่กวนอิม
พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ แสดงเฉพาะเรื่องราวของโฮจิมินห์ แต่ว่าไม่ได้เข้าชม เพราะเค้าปิดปรับปรุง
พวกเราเลยต้อง (นั่ง) วางแผนกัน (ตรงพิพิธภัณฑ์ร่มรื่น ลมเย็นดี) เพื่อไปวัดแถวๆ บริเวณทะเลสาปฝั่งตะวันตก ดูจากแผนที่คงไม่ไกลเท่าไร เดินเอาละกัน
อากาศวันนี้มีฝนโปรยปรายตลอด พวกเราเลยได้ใส่เสื้อกันฝนทั้งวันเลย เดินมาพักใหญ่กว่าจะถึงเล่นเอาเหนื่อย พวกเราแวะพักทานข้าวข้าวกลางวันเอาแรงก่อน เพราะวัดนี้จะปิดช่วงเที่ยงและจะเปิดให้เข้าชมตอนบ่าย
ระหว่างรอเข้าชมวัด เราก็มาดูวิถีชีวิตของคนที่นี่กัน
วัดเฉินก๊วก วัดจีนเก่าแก่ ที่มีเจดีย์งดงาม ตั้งอยู่บนทะเลสาบตะวันตก
จากวัดนี้พวกเราว่าจะไปวัดวัดวั่นเมียว หรือ แถวธงแดง
ป้ายรถเมล์อยู่หน้าวัดพอดี แต่ว่านั่งรถเมล์ผิดสาย (มาจากการสื่อสารแบบงงๆ กับน้องคนขายตอนกินข้าวตอนเที่ยงเพราะนางพูดอังกฤษไม่ได้เลย จริงๆน่าจะเป็นสาย 9 มั้ง) แต่โชคดีได้ไปลงแถวๆ ถนนที่ตั้งสถานทูต ดูจากแผนที่เดินไปอีกไม่ไกลก็ถึง
วัดวัดวั่นเมียว หรือวัดแห่งวรรณกรรม วัดโบราณ
เป็นสัญลักษณ์ของเมืองฮานอยที่มีประวัติความเป็นมายาวนานนับร้อยปี เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกและเป็นสถานที่ใช้สอบจองหงวน ในสมัยโบราณ ภายในวัดประกอบด้วยป้ายหินประกาศรายชื่อผู้สอบผ่านเป็น จอหงวน วางบนฐานศิลาหลังเต่า ในปัจจุบันยังคงเป็นวัดที่นักเรียนนักศึกษาเวียดนามนิยมมาขอพรในการสอบ ค่าเข้าชมคนละ 20,000 ดอง
และมี ศาลเทพเจ้าขงจื้อ อยู่ด้านใน
จะสังเกตว่าเราจะเห็นบ่อดอกบัวเกือบทุกวัดเลย เพราะว่าดอกบัวสีชมพู คือ ดอกไม้ประจำชาติของเวียดนามนั่นเอง
เดินออกมาจากวัดแล้ว อีกไม่ไกลพวกเราเห็นสวนสาธารณะเล็กๆ ที่มีรูปปั้นอดีตประธานาธิบดีเลนินตั้งอยู่
มองไปฝั่งตรงข้าม เราจะเห็นหอคอยธงแดง red flag tower
เดินจากหอคอยอีกหน่อย อยู่ใกล้ๆ กัน เราเห็นมีเครื่องบินรบตั้งอยู่ติดรั้วเลย (ที่นี่เราไม่ได้เข้าไปชม เพราะไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง) เดินกลับดีกว่า
(กลับมาเปิดดูข้อมูลเพิ่ม บอกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์สงคราม เป็นสถานที่จัดแสดง ซากเครื่องบินทิ้งระเบิด ซากรถถัง ลูกระเบิดนานาชนิด ปืนต่อสู้อากาศยาน ภาพถ่ายวีรบุรุษสงคราม และร่องรอยอื่นๆ จากการต่อสู้กับฝรั่งเศสและอเมริกัน น่าสนใจนะเนี้ย)
พวกเราตั้งใจเดินกลับไปยังทะเลสาบ เพื่อไปดูโชว์หุ่นกระบอกน้ำ ยังดีที่วันนี้เป็นวันธรรมดา มีคนไม่มากเท่าไร ค่าเข้าชมมีราคาเดียว คนละ 100,000 ดอง (ได้ที่นั่งแถวที่ 3 ด้วย)
การโชว์หุ่นกระบอกน้ำ เป็นการแสดงความสามารถในการเชิดหุ่นกระบอกจากในน้ำ ผสมผสานกับเครื่องดนตรีเวียตนามและการพากย์การแสดงสดๆ นำเสนอเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ประเพณี วัฒนธรรม ความรักในเทพนิยามของชาวเวียดนาม
แวะทานเฝอร้าน PHO 24 (ร้านอยู่ด้านเหนือของทะเลสาป) อีกสักครั้งก่อนกลับ เป็นเฝอเนื้อ รสชาติใช้ได้ พร้อมกับชิมกาแฟเข้มข้น เอกลักษณ์ของเวียดนาม
อิ่มแล้วไปกิน fruit salad อีกรอบ แล้งค่อยแวะซื้อของฝากอีกสักครั้งก่อนกลับ สลายเงินดองออกจนหมดตัว
กลับมาเคลียร์ค่าที่พักให้เรียบร้อย (ทางโรงแรมจะเก็บพาสปอร์ตไว้ตั้งแต่วันที่เข้าพัก เมื่อจ่ายค่าที่พักแล้ว โรงแรมจะคืนให้) ประสานเรื่องรถ มารับตอน 6 โมงเช้าเพื่อไปส่งสนามบินวันพรุ่งนี้ เตรียมเก็บกระเป๋ากลับบ้านละจ้า
Bye Bye Hanoi ยามเช้า
ข้อแนะนำอีกสักครั้งก่อนกลับ: ที่สนามบินนอยไบ ทุกคนจะต้องเช็คอินที่เคาน์เตอร์สายการบินก่อนผ่านตม. เวียดนาม แม้ว่าจะทำการเช็คอินทางอินเตอร์เนตแล้วก็ตาม (เข้าใจว่าทำไมสายการบิน Air Asia ประเทศเวียดนามถึงไม่เหมือนที่อื่น งง!)
กลับเมืองไทยละจร้า